TNR โชว์รายได้เดือน ก.ย.ทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี เผยยอดขายถุงยางแบรนด์ Playboy พุ่ง ดันสัดส่วนรายได้กลุ่มสินค้า Own Brand แตะ 22% หนุนกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการ Q3/62 เด้งแรง 53.8 ล้านบาท เติบโตกว่า 766.0%

BackNov 13, 2019

บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/62 ฟื้นตัวโดดเด่น กำไรสุทธิ 53.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดกว่า 766.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และทำรายได้รวม 415.0 ล้านบาท เติบโต 17.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายเดือนกันยายนทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี หลังนำถุงยางอนามัยแบรนด์ Playboy เจาะตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านช่องทางห้างค้าปลีกวอลล์มาร์ท ร้านสะดวกซื้อ และอี-คอมเมิร์ช พร้อมส่งมอบสินค้าได้ตามแผน หนุนสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (OBM) ณ สิ้นไตรมาส 3/62 พุ่งเป็น 22.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 9.6% พร้อมตุนแบ็กล็อกทยอยส่งมอบเพื่อรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้าย

นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทย เปิดเผย บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงาน (ตามงบการเงินเฉพาะกิจการ) ในไตรมาส 3/62 กลับมาเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ (ไม่รวมบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจผลิตกล่องกระดาษ) 53.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 766.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 6.2 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 415.0 ล้านบาท เติบโต 17.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 354.6 ล้านบาท โดยเฉพาะยอดขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา สามารถทำสถิติสูงสุดตั้งแต่นำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2559 แม้ว่าได้รับแรงกดดันจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายและปี 2563 หากมีการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยการเติบโตที่ดีในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เป็นผลจากการเร่งเพิ่มยอดขายถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ Playboy ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ หรือ OBM (Original Brand Manufacturer) ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดี หลังจากที่ TNR ได้รับสิทธิ์ในการขายและทำการตลาดทั่วโลกเมื่อปีที่ผ่านมา โดยสามารถนำแบรนด์ Playboy เจาะตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งการเจาะช่องทางห้างค้าปลีกวอลล์มาร์ท ช่องทางร้านสะดวกซื้อผ่านผู้แทนจำหน่ายในอเมริกา และช่องทางอี-คอมเมิร์ชเว็บไซต์ Amazon นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนขยายช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ ร้านขายยาชั้นนำในอเมริกา

ขณะเดียวกันบริษัทฯสามารถเพิ่มยอดขายสินค้าในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง รวมถึงเพิ่มคำสั่งสินค้าในภูมิภาคอื่น ๆ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 22.2% ของยอดขายถุงยางอนามัยทั้งหมด เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 9.6% ของยอดขายถุงยางอนามัยทั้งหมด และยังส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นเป็น 28.7% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 21.7%

“นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ วางแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ หรือ OBM โดยภายหลังเข้าซื้อสิทธิ์การขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยแบรนด์ Playboy เมื่อปีที่ผ่านมา ในปีนี้เราได้วางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้การขายจากกลุ่มสินค้า OBM ได้แก่ แบรนด์ Playboy และ ONETOUCHTM อย่างต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มสินค้ารับจ้างผลิต (OEM) เน้นการรับงานที่มีอัตรากำไรอยู่ในระดับที่ดี ขณะที่งานประมูล (Tender) ซึ่งมาเติมเต็มเพื่อให้ได้ Economy of Scale ช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย จะค่อย ๆ ทยอยปรับลดสัดส่วนลง” นายอมร กล่าว

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีแบ็กล็อกหรือยอดขายสินค้าที่รอส่งมอบช่วงไตรมาสสุดท้าย จึงคาดว่าจะสามารถทำรายได้รวมตามงบการเงินเฉพาะกิจการ (ไม่รวมบริษัทย่อย) ในปี 2562 ประมาณ 1,540.0 ล้านบาท โดยได้เร่งเพิ่มยอดขายและส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัท รับจ้างผลิต และงานประมูล พร้อมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รวมถึงควบคุมต้นทุนการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ